วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กรรมนำให้ดีหรือชั่ว khaosod

กรรมนำให้ดีหรือชั่ว

คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com


ชีวิตของคนเรามีเครื่องหมายปรากฏ ต้องคอยระวัง คอยเสริมสร้าง เอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะชีวิตนี้สั้นนัก เมื่อเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีความยั่งยืนถาวร

เหมือนหยาดน้ำค้าง ถึงความไม่ยั่งยืน คงทน เมื่อกระทบกับแสงแดดที่แผดร้อนก็พร้อมที่จะเหือดแห้งหายไปฉะนั้น

ชีวิตของคนเรา ดี เลว และประณีต ถูกกรรมเป็นเครื่องลิขิต สั่งสมไว้ ไม่ใช่เทวดาหรือพระพรหมจะเป็นผู้สร้างให้เป็นไป ต้องอาศัยบุญนำแต่ปางก่อน ทำให้ชีวิตถูกลิขิตเป็นขั้นตอน มีสุข และทุกข์สลับกันไป

เมื่อยามสุขก็ดีใจ ถึงคราวทุกข์ก็ร้องไห้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มี แก่นสาร จัดเป็นโลกธรรม เป็นกฎแห่งกรรมที่มีอยู่ประจำโลก ด้วยการมีลาภ มียศ มีสุข มีความสรรเสริญ จัดเป็นส่วนดี เป็นอารมณ์ที่ทุกคนชอบ ปรารถนาอยากได้มีไว้ประจำตัว

แต่สิ่งที่มีอยู่ประจำตัวเรานี้นำความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเสมอ เช่น การมีลาภ อาจเสื่อมจากลาภได้ การมียศ อาจถูกลดหรือปลดได้ เมื่อใจมีความสุข อาจจะเปลี่ยนได้เพราะความทุกข์ ถึงคราวที่ใจมีสุขได้รับการสรรเสริญ อาจจะได้ความหมางเมินเพราะถูกนินทา เมื่อมีการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นทุกข์ ถูกนินทาแล้ว จึงจัดเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่มีใครอยากได้

เมื่อได้โอกาสที่ดีจึงควรพิจารณาถึงกฎธรรมดาของชีวิต ด้วยการที่ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย ไม่มีชีวิตใดที่เกิดมาแล้วไม่ประสบกับสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องพลัดพรากจากชีวิต ต้องอยู่ไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น และชีวิตนี้ยังต้องอยู่ใต้กฎของกรรมอีกด้วย

เมื่อเราทำกรรมไว้อย่างไร ชีวิตนี้ก็ต้องรับเอาไว้ ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า "กัมมัง สัตเต วิภะชะติ ยะทิทัง หีนัปปะณีตะตายะ แปลว่า กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ให้ดี เลว และประณีต" เป็นเครื่องแจกความดี เลว และประณีตให้แก่ตัวเราเอง แต่จะให้ผลช้าหรือเร็ว ในชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไปเท่านั้นเอง

เพราะชีวิตเมื่อทำดีก็รับผลดีเอง เมื่อทำชั่วก็รับผลชั่วเอง จะไปให้ชีวิตอื่น คนอื่นไปรับแทนไม่ได้

เมื่อเราได้รู้ถึงกฎธรรมดาของชีวิตอย่างนี้แล้ว เราก็จะได้ทราบความจริงข้อหนึ่งว่า ชีวิตที่ต้องมีความทุกข์ก็เพราะชีวิตต้องอยู่ใต้กฎธรรมดา คือ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ตลอดถึงอื่นๆ อีก ซึ่งเป็นเรื่องความทุกข์ทั้งนั้น

เช่นการที่ต้องพลัดพรากจากคนที่รักที่ชอบใจ เราต้องพลัดพรากจากสิ่งของที่เรารัก สิ่งของที่เราชอบใจ ก็แสดงให้เห็นเป็นความทุกข์ทั้งนั้น

ดังนั้น ชีวิตของคนทุกคนจึงเป็นชีวิตที่ต้องประสบกับความทุกข์ทั้งนั้น จำเป็นต้องใช้ขันติ ความอดกลั้น บั่นทอนกรรมกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นให้ทุเลาเบาบางลงบ้าง

จึงจะได้พบหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น