วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

บำเพ็ญทาน khaosod

บำเพ็ญทาน

ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร www.watdevaraj.com


การแสดงออกซึ่งน้ำจิตน้ำใจอันดีงาม โดยมีวัตถุสิ่งของเป็นสิ่งประกอบ ท่านเรียกว่า ทาน หมายถึง การให้ หรือเจตนาเป็นเครื่องให้ ให้ปันสิ่งของอันได้แก่ ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ



การให้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งความสุข เป็นรากเหง้าแห่งสมบัติทุกอย่าง เป็นที่ตั้งแห่งโภคทรัพย์ทั้งหมด เป็นเครื่องป้องกันภัยต่างๆ และเป็นที่พึ่งพิงอาศัยของเหล่าสัตว์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า



การบำเพ็ญทาน นับเป็นกิจเบื้องต้นที่ควรทำ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงบำเพ็ญบารมีในสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ทรงบำเพ็ญทานคือการให้เป็นทีแรก



สำหรับการให้นั้น ไม่ควรให้ของเลว หรือของที่ไม่ดี ควรเลือกของที่ตนชอบใจให้ ให้ของที่ดีประณีต ดีกว่าที่ตนมีตนใช้



ผลที่เกิดจากการให้สิ่งของที่ดีนั้น ย่อมเป็นไปตามเหตุคือของที่ให้ เมื่อให้ของที่ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ย่อมจะได้รับของที่ถูกใจตอบแทน เมื่อให้ของชั้นยอด ได้แก่ ของที่ยังไม่ได้ใช้สอยหรือบริโภคมาก่อน เช่น ข้าวปากหม้อ แกงปากหม้อ เป็นต้น ก็ย่อมได้รับของเช่นนั้นตอบแทน



สมดังพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ว่า "ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้รับผลที่พอใจ ผู้ให้ของที่เลิศ ย่อมได้รับผลที่เลิศตอบ ผู้ให้ของที่ดี ย่อมได้รับผลที่ดี และผู้ให้ของที่ดีที่สุด ย่อมเข้าถึงฐานะที่ดีที่สุด"



การให้ทาน แบ่งออกเป็น 3 อย่าง ได้แก่



1.การให้วัตถุสิ่งของ หรือทรัพย์สินเงินทองเป็นทาน



2.การให้ธรรมะ ความรู้เป็นทาน



3.การให้อภัยในบุคคลอื่นที่ทำไม่ดีกับเรา ไม่พยาบาทมาดร้ายหรือจองเวร



การบำเพ็ญทานให้ได้บุญมาก ต้องพร้อมด้วยองค์ 3 คือ



1.วัตถุบริสุทธิ์ ของที่จะให้ทานต้องเป็นของที่ได้มาด้วยความชอบธรรม ด้วยการทำงานบริสุทธิ์ ไม่ใช่ได้มาด้วยการปล้น การลักขโมย หรือเบียดเบียนใครมา



2.เจตนาบริสุทธิ์ มีเจตนาเพื่อกำจัดความตระหนี่ออกจากใจของตน ทำเพื่อเอาบุญ ไม่ใช่เอาหน้าเอาชื่อเสียง ไม่ใช่เอาความเด่นความดัง จะต้องมีเจตนาบริสุทธิ์ ในขณะก่อนให้ ก็มีใจเลื่อมใสเป็นทุนเดิม เต็มใจที่จะทำบุญนั้น ขณะให้ ก็ตั้งใจให้ด้วยใจที่เบิกบาน หลังให้ ก็มีใจแช่มชื่น ไม่นึกเสียดายสิ่งของที่ให้ไปแล้ว



3.บุคคลบริสุทธิ์ คือเลือกให้แก่ผู้รับที่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีความสงบเรียบร้อย ตั้งใจประพฤติธรรม สำหรับผู้ให้ทานคือตัวเราเอง ก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์ จึงจะได้บุญมาก



อานิสงส์การบำเพ็ญทาน เป็นที่มาของสมบัติทั้งหลาย ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ เป็นที่น่าคบหาของคนดี เข้าสังคมได้คล่องแคล่ว แกล้วกล้าอาจหาญในทุกชุมชน มีชื่อเสียงเกียรติคุณดี แม้ตายก็ไปเกิดในสวรรค์



คนผู้ให้ทาน ย่อมได้ชื่อว่าสั่งสมความดีแก่ตน แม้ว่าทรัพย์สมบัติจะหมดไปบ้าง ก็หมดไปในทางที่ชอบที่ควร บุญกุศลคุณงามความดีต่างๆ ย่อมเพิ่มมากขึ้นทวีคูณทุกๆ ครั้งที่ได้ให้

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

สงเคราะห์ภรรยาสามี khaosod

สงเคราะห์ภรรยาสามี

คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com


คุณสมบัติของสามีภรรยาที่ดี ต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีการเสียสละเหมือนกัน

หน้าที่ของสามีที่ดี ต้องยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา ด้วยการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยาของตน ไม่ปิดบังผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยกัน ไม่ดูหมิ่นภรรยา เมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษา ว่าต่ำต้อย กว่าตน

ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา ด้วยการไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย มอบความเป็นใหญ่ในบ้าน ด้วยการมอบธุระทางบ้านให้ภรรยาจัดการ รับฟังและทำตามความเห็นของภรรยาเกี่ยวกับบ้าน ให้เครื่องแต่งตัว ให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี

หน้าที่ของภรรยาที่ดี ต้องจัดการงานดี งานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลความสะอาด ให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ประพฤตินอกใจ ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว รู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่ ขยันทำงาน ไม่เกียจคร้าน

โอวาทของธนัญชัยเศรษฐี ผู้เป็นบิดา ให้แก่นางวิสาขาในวันแต่งงาน มี 10 ประการ คือ

1.ไม่นำปัญหาต่างๆ ในครอบครัว ไปเปิดเผยแก่คนทั่วไปภายนอก

2.ไม่นำปัญหาต่างๆ เข้ามาในครอบครัว

3.ผู้ใดที่เราให้ความช่วยเหลือ ให้หยิบยืมสิ่งของแล้ว เมื่อถึงกำหนดก็ส่งคืนตามเวลา เมื่อเรามีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ หากไม่เกินความสามารถของเขา เขาก็ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มใจ บุคคลเช่นนี้ภายหลังมาขอความช่วยเหลือเราอีกก็ให้ช่วย

4.ผู้ใดที่เราให้ความช่วยเหลือ ให้หยิบยืมสิ่งของแล้ว เมื่อถึงกำหนดก็ไม่ส่งคืนตามเวลา เมื่อเรามีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ แม้ไม่เกินความสามารถของเขา และเป็นเรื่องที่ถูกศีลธรรม เขาก็ไม่ยอมช่วยเหลือ บุคคลเช่นนี้ภายหลังมาขอความช่วยเหลือเราอีกก็อย่าช่วย

5.ถ้าญาติพี่น้องเราที่ลำบากมาขอความช่วยเหลือ แม้บางครั้งไม่ส่งของที่หยิบยืมตามเวลา ภายหลังเขามาขอความช่วยเหลืออีกก็ให้ช่วย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้อง

6.จัดการเรื่องอาหารการกินในครอบครัวให้ดี ปรนนิบัติพ่อแม่ของสามี อย่าให้บกพร่อง

7.รู้จักที่สูงที่ต่ำ เวลานั่งก็ไม่นั่งสูงกว่าพ่อแม่ของสามี จะได้นั่งอย่างมีความสุข

8.ดูแลเรื่องที่นอนให้ดี และยึดหลักตื่นก่อน นอนทีหลัง ก่อนนอนก็จัดธุระการงาน ให้เรียบร้อยเสียก่อน จะได้นอนอย่างมีความสุข

9.เวลาที่พ่อแม่ของสามีหรือตัวสามีเองกำลังโกรธ เปรียบเสมือนไฟกำลังลุก ถ้าดุด่าอะไรเราก็ให้นิ่งเสีย อย่าไปต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะในช่วงเวลานั้นถ้าเราไปเถียงเข้าเรื่องราวก็จะยิ่งลุกลามใหญ่โต ไม่มีประโยชน์อะไร คอยหาโอกาสเมื่อท่านหายโกรธแล้วจึงค่อยชี้แจงเหตุผลให้ฟังอย่างนุ่มนวลจะดีกว่า

10.เวลาที่พ่อแม่ของสามี หรือตัวสามีเองทำความดีก็พยายามส่งเสริมสนับสนุน พูดให้กำลังใจให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป

อานิสงส์การสงเคราะห์ภรรยาสามี ทำให้มีความรักยั่งยืนนาน มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ครอบครัวมีความสุขอบอุ่น ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

ทำงานไม่ให้คั่งค้าง khaosod

ทำงานไม่ให้คั่งค้าง

คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร /www.watdevaraj.com


การทำงานจัดว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตและทำชีวิตให้มีคุณค่า สามารถชักนำให้มนุษย์รู้จักสภาพอันแท้จริงของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก ทำให้มนุษย์ดำเนินไปสู่ความโชคดีและร้าย และสามารถพัฒนาโลกให้เจริญก้าวหน้าไปได้ไกล

เมื่อทราบว่ามนุษย์มีความเป็นอยู่คู่กับการทำงานเช่นนี้ ผู้ที่มีความเกียจคร้าน ไม่รู้จักวิธีการทำงานหาเลี้ยงชีพ ทำงานให้คั่งค้างเหมือนดินพอกหางหมู บัณฑิตผู้รู้จึงเรียกคนเช่นนี้ว่า คนสิ้นคิด มีชีวิตความเป็นอยู่อันไร้ค่าเท่ากับเกิดมารกโลก เพราะไม่รู้จักใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้มีค่า กลายเป็นคนอนาถาไร้ที่พึ่งพิง

ส่วนผู้ที่มีความอุตสาหะประกอบการงาน ไม่มีความเกียจคร้านและเบื่อหน่าย ทำงานให้สำเร็จไม่คั่งค้าง มีความมุ่งหมายในการทำงานด้วยศรัทธาอันแน่วแน่และมั่นคง ย่อมสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติ ได้รับเกียรติยศ เพราะการกระทำหรือการทำงานนั้นย่อมแบ่งฐานะของมนุษย์ให้ทราบว่าดี เลว มากน้อยกว่ากันอย่างไร

สำหรับผู้ที่เคยทำการงานมาแล้วย่อมทราบได้ดีว่า งานที่ดีมีประโยชน์นั้นทำได้ยาก เพราะจะต้องตรากตรำลำบาก นอกจากต้องทุ่มเทกำลังความคิดและความสามารถแล้ว จะต้องใช้ความรอบคอบคอยสอดส่องถึงผลที่จะมา กระทบว่าจะดีหรือชั่ว จะถูกหรือผิดประการใด จะต้องทำให้ถูกจังหวะและโอกาส รวมถึงเหมาะสมแก่สถานที่นั้นๆ

อีกประการหนึ่ง เพื่อให้การงานสำเร็จเรียบร้อย ยังต้องใช้ความเก่งกล้าสามารถ ไม่ย่อท้อต่ออันตรายและอุปสรรค ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระหว่าง อันจะเป็นเหตุให้ละการทำงานเพราะไม่มีกำลังใจที่จะทำงานให้สำเร็จได้ ยิ่งการงานที่จะก่อให้เกิดชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างสูงด้วยแล้วก็ยิ่งสำคัญมาก ถ้าหากไม่มีหลักการทำงานประจำใจก็ยากที่จะให้สำเร็จตามความมุ่งหมายได้

หลักของการทำงานให้เสร็จลุล่วงด้วยดีคือ มีความพอใจ มีใจรักในงานที่ทำ มีความพากเพียรไม่ละทิ้งในงานที่ทำ เอาใจใส่ในงานที่ทำ และใช้การคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ ด้วยปัญญา

คุณสมบัติของนายจ้างที่ดี จัดงานให้ลูกจ้างทำตามความเหมาะสม ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความสามารถ ให้สวัสดิการที่ดี มีอะไรได้มาก็แบ่งปันให้ ให้มีวันหยุดพักผ่อนตามสมควร

คุณสมบัติของลูกจ้างที่ดี เริ่มทำงานก่อน เลิกงานทีหลัง เอาแต่ของที่นายให้ ทำงานให้ดียิ่งขึ้น นำความดีของนายไปสรรเสริญ

อานิสงส์การทำงานไม่คั่งค้าง ทำให้ฐานะของตน ครอบครัว ประเทศชาติดีขึ้น ได้รับความสุข พึ่งตัวเองได้ เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลายได้ สามารถสร้างบุญกุศลอื่นๆ ได้ง่าย เป็นผู้ไม่ประมาท ป้องกันภัยในอบายภูมิได้ มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เป็นนิสัยติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนทั่วไป

บุคคลใดไม่คำนึงถึงหนาวร้อน อดทนให้เหมือนหญ้า กระทำกิจที่ควรทำด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย บุคคลนั้นย่อมไม่เสื่อมจากสุข

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

วาจาสุภาษิต khaosod

วาจาสุภาษิต

คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com


คําว่า วาจาอันเป็นสุภาษิต ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคำพูดที่เป็นร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจ มีความหมายอันลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟังด้วย



ลักษณะวาจาอันเป็นสุภาษิต ต้องเป็นคำจริง มีข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้แต่งขึ้นมาพูด เป็นคำสุภาพ พูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ ไม่มีคำหยาบ หรือคำด่า พูดแล้วมีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ปฏิบัติตามแล้วทำให้เกิดประโยชน์



ลักษณะการพูดที่ดี ต้องรู้จักกำหนดขอบเขตของการพูดให้พอดี จำเนื้อความที่จะพูดได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความที่พูดได้โดยง่าย ฉลาดในการพูดที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่พูดชักชวนให้เกิดความทะเลาะวิวาท



การมีวาจาสุภาษิต เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของชนทุกชั้น มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ได้รับความสำเร็จในสิ่งที่เจรจา



วาจาที่จะเป็นสุภาษิตได้นั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ 5 ประการ คือ



พูดถูกกาลเทศะ กาละ ได้แก่ เวลา เทศะ ได้แก่ สถานที่ ก่อนที่จะพูด ก็ต้องดูเวลาก่อนว่าเวลานี้เขาพูดเรื่องอะไรกัน เช่น เขาพูดเรื่องเกี่ยวกับการทำสาธารณประโยชน์ ควรทำอย่างนั้น มีประโยชน์อย่างนี้ แต่กลับพูดตรงกันข้ามว่าไม่มีประโยชน์ ถ้าพูดถูกกาลเทศะก็มีประโยชน์



พูดแต่คำสัตย์ คำสัตย์ตรงกันข้ามกับคำเท็จ ผู้พูดคำเท็จ ย่อมขาดความเชื่อถือ ส่วนคำสัตย์นั้นดี มีประโยชน์



พูดไพเราะอ่อนหวาน เป็นที่ชอบใจของคนทุกชั้น มารดาบิดาพูดกับบุตรธิดาด้วยคำอ่อนหวาน ย่อมจับใจของบุตรธิดา ทำให้เกิดความรัก บุตรธิดาผู้รู้จักพูด ก็ย่อมเป็นที่รักของมารดาบิดา วาจาไพเราะอ่อนหวาน เปรียบดังอาหารมีโอชารส ยังผู้กินให้พอใจ ติดใจ ต้องการกินอีก



พูดคำที่ประกอบด้วยประโยชน์ คือ เมื่อจะพูดแต่ละครั้งก็ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง เช่น พูดชี้ชวนให้ผู้ฟังมีความขยันทำงาน โดยชี้โทษของความเกียจคร้านให้ผู้ฟังเห็นว่า เป็นเหตุให้ยากจน ไม่มีคนนับถือ มีแต่ความลำบาก และชี้คุณของความขยัน อดทนทำงานโดยสุจริต คือ มีทรัพย์สมบัติ สามารถตั้งตัวได้ไม่ลำบาก มีคนเคารพนับถือ หรือพูดแนะนำให้ผู้ฟังเกิดอุตสาหะ คือ ทำสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม ทั้งทางตรงและทางอ้อม และพูดแนะนำให้ผู้ฟังกลัวบาป คือ ความผิด ซึ่งมีผลตรงกันข้ามกับบุญ คือ ความดี



พูดด้วยจิตเมตตา คือผู้พูดมีเมตตาอยู่ในใจ ปรารถนาดีแก่ผู้ฟัง ไม่ใช่ปรารถนาร้าย เพราะการไม่เบียดเบียนกัน เป็นสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย เป็นความจริงถ้ามนุษย์เราเว้นจากการเบียดเบียนกัน มีเมตตาต่อกัน ต่างฝ่ายต่างทำมาหากินตามฐานะของตน ไม่ต้องกังวลถึงภยันตรายอันจะพึงมีเพราะความเบียดเบียน จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นสุข



ดังนั้น ผู้พูดแต่คำที่ดี ไพเราะ ย่อมจะทำให้ผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง เกิดความชื่นใจ สบายใจ สุขใจ ทำให้คนรักใคร่นับถือ แต่ถ้าตรงกันข้าม คือ พูดชั่ว นอกจากจะทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงแล้ว ย่อมกลับทำลายคนรอบข้างอีกด้วย

เลี้ยงดูพ่อแม่ khaosod

เลี้ยงดูพ่อแม่

คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พรประเสริฐเกิดจากใจ พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตโต ป.ธ.9)


พ่อแม่นั้น กล่าวกันว่า ท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งขยายความไว้ว่า

พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม 4 ประการ คือ

1.มีเมตตา ความรักใคร่อันบริสุทธิ์ ปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่ สิ้นสุด

2.มีกรุณา ความหวั่นใจในความทุกข์ของลูก ไม่ทอดทิ้ง และคอยช่วยเหลือเสมอ

3.มีมุทิตา เมื่อลูกมีความสุขประสบความสำเร็จ มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ

4.มีอุเบกขา เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่คอยเป็นที่ปรึกษาให้ เมื่อลูกต้องการ

พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มภัย เลี้ยงดูลูกมาก่อนคนอื่นๆ

พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะคอยสั่งสอนอบรมทั้งคำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ

พ่อแม่เป็นวิสุทธิเทพองค์แรกของลูก ไม่ถือสาในความผิด ของลูก แม้ว่าบางครั้งลูกจะพลาดพลั้งล่วงเกิน ก็ให้อภัยเสมอ ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงปรารถนาให้ลูกได้ดี มีความสุข

เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญได้โดยแท้

เป็นเหมือนพระที่ควรเคารพนับถือและได้รับการบูชา เพื่อเทิดทูนไว้เป็นแบบอย่าง

เป็นผู้มีอุปการคุณต่อลูก เลี้ยงดูลูกมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก ให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากอันตรายต่างๆ นานา

การทดแทนพระคุณพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ลูกควรปฏิบัติในระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรเลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน

ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ ในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีดังนี้คือ ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา พยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการบุญกุศลทำความดี ถ้ายังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล พยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล 5 ให้ได้ ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ให้รู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน ถ้าท่านยังไม่มีปัญญา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา พยายามให้ท่านหมั่นเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ได้

การเลี้ยงดูพ่อแม่ ทำให้มีความอดทน มีสติปัญญาดี มีเหตุผล พ้นทุกข์พ้นภัย ได้ลาภโดยง่าย แคล้วคลาดจากภัยอันตรายในยามคับขัน เทวดาช่วยรักษา ได้รับการยกย่องสรรเสริญ มีความเจริญก้าวหน้า ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี มีความสุข เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญผู้ที่เลี้ยงดูพ่อแม่ในโลกนี้นี่เอง เขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์

พรประเสริฐเกิดจากใจ khaosod

พรประเสริฐเกิดจากใจ

คอลัมน์ หน้าต่างศาสนา
พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ


ช่วงนี้เป็นเทศกาลแห่งการ "ขอพรและให้พร" ใครที่กำลังโหยหาเครื่องเยียวยาใจที่เหนื่อยล้าตลอดปีด้วยพรดีๆ กัน ก็คงเที่ยวตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พอจะประทานสิ่งดีๆ เหล่านั้นให้ได้จนอาจลืมคิดไปว่าของดีย่อมต้องอยู่กับสิ่งดีๆ จึงจะก่อให้เกิดผลของความดีได้ ก็เราลองคิดซิว่า ถ้าเราได้เมล็ดพันธุ์ไม้ดีๆ มา แต่ไม่มีดินจะปลูก หรือมีทองคำมากมายแต่ติดบนเกาะกลางมหาสมุทร ของเหล่านั้นก็ไร้ค่าไปโดยปริยาย

เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) จึงแนะให้ทำชีวิตคือตัวเราเองให้ดีเสียก่อนแล้วจึงไปแสวงหาความดีอย่างอื่นมาใส่ตัวด้วยการ "...ทำจิตให้สงบแล้วจะได้ทราบว่านี่แหละชีวิตที่เห็นอย่างนี้ นี่แหละความดี เป็นอย่างนี้ ขอให้เราทำจิตใจให้โล่งแล้ว ถ้าทุกข์มัดรัดรึงเข้า อย่าแก้ด้วยวิธีอื่น ให้แก้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้า และภาวนาว่า พุทโธๆ"

ทำอย่างนี้เพื่อให้ใจเราอยู่เหนือความทุกข์โดยเอาความดีมาประโลมใจเสมอๆ "เราปรารถนาอะไรก็ตั้งใจปรารถนาทำใจให้นิ่งๆ ตั้งใจให้มั่นคงแน่วแน่ แต่อย่าเอาเรื่องที่เราปรารถนานั้นมาเป็นความทุกข์ในใจ"

พรที่มีค่าสุดจึงเป็นการเพิ่มความดีให้ใจเราก่อน ให้สงบจากความอยากที่ทำให้ทุกข์ แล้วจึงน้อมใจนึกถึงสิ่งดีๆ อันเกิดเป็นผลจากการลงแรงทำบางอย่างไป อาจไม่ใช่เพื่อตัวเราเองอย่างเดียวแต่เพื่อสังคมมีความสุขตามไปด้วย

เมื่อไม่กี่วันก่อน คณะวิทยากร กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม และพระธรรมทูตอาสา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เดินทางมาเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ณ วัดสระเกศ

ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้เมตตาให้นโยบายและโอกาสทำงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ เพื่อให้พระสงฆ์ในพื้นที่ได้ยืนหยัดเพื่อ ชาวพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

จนกระทั่งรวมตัวกันทำงานด้วยความเสียสละแม้จะขาดปัจจัยหลายๆ ด้าน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ขาดหายไป คือ กำลังใจที่ได้รับจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

แม้การจากไปจะทำให้เราเกิดความเศร้าโศก แต่เมื่อนึกถึงคำของพระสารีบุตรที่มีคนไปถามท่านว่า "ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปท่านจะเศร้าโศกเสียใจไหม"

ท่านตอบว่า "ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไป ข้าพเจ้าจะไม่มีความโศกเศร้า แต่ข้าพเจ้าจะมีความคิดว่าท่านผู้ที่มีคุณความดีมาก มีประโยชน์มากได้ลับล่วงไปเสียแล้ว ถ้าหากท่านดำรงอยู่ในโลกไปได้นานเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่คนจำนวนมากเท่านั้น"

พระสารีบุตรได้ชี้ให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งที่ว่า ผู้ที่มีคุณความดีดำรงชีวิตอยู่ด้วยการสร้างคุณงามความดีมาก ไม่ว่าชีวิตจะยืนยาวนานเท่าไรก็ยิ่งสร้างประโยชน์และความสุขให้มากตามไปด้วย

กำลังใจที่ได้จากท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเป็นการส่งต่อความดีไปยังคนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ และพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ผ่านการอบรมจากทีมพระวิทยากรให้เพิ่มพูนความดีในใจยิ่งๆ ขึ้นไป