วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

เจริญเมตตาได้อานิสงส์ khaosod

เจริญเมตตาได้อานิสงส์

คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร / www.watdevaraj.com


เมตตา หมายถึง ความรัก หวังดี ไมตรี เห็นใจ ใฝ่ใจ เอื้ออาทร การสร้างเสริมประโยชน์สุขแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเต็มความรู้ความสามารถ ปราศจากความอาฆาต เคียดแค้น ชิงชัง มีแต่จะแสดงให้เห็นสีหน้ายิ้มละไม มีดวงตาแจ่มใสแช่มชื่น มองดูผู้อื่นด้วยสายตาอันเอิบอิ่ม เปี่ยมด้วยความปรารถนาดี หวังให้ทุกคนมีความสงบสุขสมบูรณ์ทั่วหน้า ห่างภัยไกลเวรไร้อุปสรรค อันตราย

เมตตาเป็นคุณธรรมประจำใจของผู้นำหมู่คณะ เป็นคุณธรรมของผู้เป็นใหญ่ในสังคม

เมื่อเจริญเมตตาก็จะได้อานิสงส์จากการเจริญเมตตา 11 ประการ คือ

ประการที่ 1 หลับเป็นสุข ไม่นอนกระสับกระส่าย หวาดระแวง ผู้เจริญเมตตาหยั่งลงสู่ความหลับก็เป็นสุข เพราะไม่มีใจขุ่นหมองเศร้าเร่าร้อน เป็นผู้ที่มองโลกแต่แง่ดีมีคุณ

ประการที่ 2 ตื่นเป็นสุข ไม่แสดงอาการเป็นทุกข์ ผู้เจริญเมตตาไม่มีอาการผิดปกติ การตื่นเป็นสุขของผู้เจริญเมตตา เปรียบเสมือนดอกปทุมกำลังแย้มบานฉะนั้น

ประการที่ 3 ไม่ฝันเห็นนิมิตที่ไม่ดี ฝันแต่เรื่องที่เจริญ เรื่องดีๆ เท่านั้น เช่น ฝันว่ากำลังไหว้พระเจดีย์ กำลังบูชาพระ หรือกำลังฟังธรรม

ประการที่ 4 เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ผู้เจริญเมตตาย่อมเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเมื่อบุคคลนั้นจะคิด ก็คิดด้วยเมตตามโนกรรม เมื่อจะพูดก็พูดด้วยเมตตาวจีกรรม และเมื่อจะทำก็ทำด้วยเมตตากายกรรม มนุษย์ทั้งหลายจึงรักบุคคลผู้มีเมตตาธรรมนั้น เหมือนพวงมาลัยที่ประดับไว้บนศีรษะฉะนั้น

ประการที่ 5 เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ผู้เจริญเมตตาเป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลายฉันใด ย่อมเป็นที่รักที่เกรงขามของมนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น

ประการที่ 6 เทวดาย่อมรักษาคุ้มครองผู้เจริญเมตตา เหมือนมารดาบิดาถนอมรักษาบุตรฉะนั้น

ประการที่ 7 ไฟย่อมไม่กล้ำกรายร่างกายของผู้อยู่ด้วยเมตตา เหมือนนางอุตตราอุบาสิกา ไฟย่อมไม่ทำอันตราย เป็นต้น

ประการที่ 8 จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็ว คือ จิตของผู้เจริญเมตตาย่อมตั้งมั่นได้รวดเร็ว เพราะความพยาบาทอาฆาตได้ถูกกำจัดออกไปด้วยเมตตาธรรม

ประการที่ 9 สีหน้าผ่องใส คือ หน้าตาของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส เหมือนผลตาลสุกหลุดจากขั้วฉะนั้น เมื่อจิตใจของบุคคลนั้นสะอาดผ่องใส จึงแสดงออกทางใบหน้า และผิวให้ผ่องใสงดงามตามไปด้วย

ประการที่ 10 ไม่หลงทำกาละ คือ ไม่มีความหลงลืมสติของผู้เจริญเมตตา เมื่อทำกาละกิริยาก็สงบเงียบ เหมือนการก้าวลงสู่ความหลับ

ประการที่ 11 เมื่อไม่บรรลุพระอรหัตผลอันเป็นคุณวิเศษที่ยิ่งกว่า เมตตาสมาบัติ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ย่อมเข้าถึงพรหมโลก เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นฉะนั้น

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณค่าที่เหลืออยู่ khaosod

คุณค่าที่เหลืออยู่

หน้าต่างศาสนา
พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี สำนักส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ


เราอาจเคยคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ เงิน รถ บ้าน อาหาร อากาศ ฯลฯ 

แต่พอเราผ่านภัยพิบัติต่างๆ ในชีวิตไปได้ จะทำให้รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ชีวิต นั่นเอง เพราะ...

1.สมบัติทุกอย่างจะมีค่าก็ต่อเมื่อเรามีชีวิต แต่หากไม่มีชีวิตทุกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เหมือนผู้ประสบภัยที่ต้องหนีน้ำท่วม หรือผู้ประสบอัคคีภัยที่ต้องเอาตัวรอดภายในเสี้ยววินาที แล้วไม่สามารถถือสิ่งใดติดมือมาได้เลย เกิดความเศร้าเสียใจ เสียดายสมบัติ ลืมสิ่งที่มีค่าสุดคือ ชีวิตเราเองและคนที่เรารักที่รอดมาได้ แทนที่จะดีใจกับชีวิตนี้ กลับเอาความทุกข์ไปใส่ตัวเอง 

2.สิ่งสำคัญที่สุด คือ สิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ใช่สิ่งที่หายไป คุณค่าจริงๆ ของทุกสิ่ง คือ เมื่อมันยังอยู่กับเราและเราได้ใช้มันเท่านั้น อย่างกับเสื้อ 1 ตัวที่เราใส่ กับเสื้อ 100 ตัวที่อยู่ที่บ้านหรือที่ร้านค้า ตัวไหนมีค่ามากกว่ากัน ก็ต้องเป็นเสื้อตัวที่เราใส่อยู่ ซึ่งให้ความอบอุ่นกับเราได้ ส่วนอีกร้อยตัวจะมีราคามากขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นและไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป เหมือนผู้ประสบภัยที่อาจจะเอาเสื้อมาได้ตัวเดียว ก็ให้รู้ว่านั่นคือสิ่งที่มีค่าสุดแล้ว ส่วนเสื้อตัวอื่นถึงมี แต่ไม่ได้ใส่ก็ไม่มีประโยชน์ 

...เพราะคุณค่าจริง มีเพียงแค่หนึ่งชีวิตกับสิ่งของที่ติดตัวเราไปได้ตลอด นั่นคือ บุญและกุศล ที่เราสั่งสมมานั่นเอง...

ชนะตนดีกว่าชนะคนอื่น

ชนะตนดีกว่าชนะคนอื่น

ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์(โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดเทวกุญชรวรวิหาร


คนทุกคนไม่มีใครปรารถนาความพ่ายแพ้ ต้องการความชนะทุกคน นักกีฬาฝึกกีฬาทุกประเภทก็ปรารถนาจะชนะ ไม่ปรารถนาความพ่ายแพ้ 

ผู้ชนะเท่านั้นเป็นผู้เก่ง มีเกียรติ มีชื่อเสียง ยกย่องกันว่าเป็นวีรบุรุษ ได้ชื่อเสียง เกียรติคุณ ได้ทรัพย์สินเงินทอง เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล แก่ประเทศชาติ เป็นวิสัยของชาวโลก ไม่มีใครคัดค้าน มีแต่คนสนับสนุน ยกย่องเชิดชู

แต่เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าตรัสว่า ชนะคนอื่นสัตว์อื่นไม่ประเสริฐ แต่ชนะตนประเสริฐกว่า 

หากพิจารณาด้วยปัญญาแล้วจะเห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ได้สอนขัดกับความนิยมของชาวโลก แต่ทรงสอนให้ปฏิบัติตนให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพราะความชนะของชาวโลกนั้น ไม่แน่นอนมั่นคง วันนี้ชนะ วันหน้าอาจแพ้ได้ แต่ชัยชนะของพระพุทธ เจ้าไม่กลับแพ้ ผู้ที่ฝึกตนตามพระพุทธพจน์ก็จะได้ชัยชนะที่ไม่กลับแพ้

ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ตรัสถามพราหมณ์ผู้หนึ่งว่า ท่านประกอบอาชีพอะไร พราหมณ์ทูลตอบว่า หม่อมฉันเล่นสกาซึ่งเป็นการพนันเลี้ยงชีพ พระพุทธองค์ตรัสว่า นั่นยังมีประมาณน้อย ชื่อว่าความชนะผู้อื่นไม่ประเสริฐ ส่วนผู้ใดชนะตนได้เพราะชนะกิเลส ความชนะของผู้นั้นประเสริฐ เพราะว่าใครๆ ไม่อาจทำความชนะนั้นให้กลับพ่ายแพ้ได้

หากทุกคนชนะตนเองไม่ได้ก็จะชนะคนอื่นไม่ได้ ชนะกิเลสไม่ได้ เป็นผู้พ่ายแพ้อยู่ตลอดไป แม้ต้องการความชนะก็ไม่มีหนทางจะชนะ เช่น นักกีฬาที่มีแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความขยัน ขาดความพยายามที่จะเอาชนะความเกียจคร้าน การฝึกฝนตนก็เลวลง ผลสุดท้ายก็เป็นผู้แพ้ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ แม้ผู้ประกอบการงานอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน หากปล่อยให้กิเลสครอบงำจิตใจแล้วมีแต่ทางแพ้เท่านั้น ไม่มีทางชนะ 

พระพุทธองค์ยังทรงสอนถึงวิธีที่จะเอาชนะกิเลส 3 ชนิด คือ 

เมื่อต้องการชนะความโลภ ต้องคิดเผื่อแผ่ประโยชน์ของตนให้แก่ผู้อื่น ยินดีในสมบัติของตน อย่าไปยินดีสมบัติของผู้อื่นที่เขาหวงแหน 

เมื่อต้องการชนะความโกรธ ต้องเจริญเมตตา เพราะไม่โกรธ ไม่พยาบาทอาฆาตจองเวรกับใครๆ 

เมื่อต้องการชนะความหลง ต้องเจริญจิตตภาวนา 

การชนะกิเลสทั้ง 3 ชนิดนี้ไม่ก่อเวรให้ตนเอง ไม่ก่อเวรให้ผู้อื่น ผู้ปฏิบัติเช่นนี้ได้ชื่อว่าชนะตนเอง ผู้ที่ชนะตนเองคือ ชนะจิตใจของตนเอง จึงเป็นผู้ประเสริฐกว่าการชนะผู้อื่น สัตว์อื่น เพราะไม่มีทางกลับแพ้อีกต่อไป แม้เทวดา คนธรรพ์ มาร พรหม ก็ทำให้แพ้ไม่ได้