วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

อารยชน (3) khaosod

หลักสูตรอารยชน (3)

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)



นอก จากเสื่อมทรัพย์สินเงินทองแล้ว ก็เสื่อมอย่างอื่นด้วย จิตใจก็ไม่อยู่กับหน้าที่การงาน ถ้าอยู่ในวัยเรียน ก็เสียการศึกษา ซ้ำร้ายสุขภาพก็เสื่อมโทรมด้วย เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้เว้นอบายมุขที่เป็นทางแห่งความเสื่อมทั้ง 6 อย่าง คือ

1.เป็นนักเลงสุรา เป็นนักดื่ม หมกมุ่นกับสุรายาเมา และสิ่งเสพติดต่างๆ

2.เป็นนักเที่ยว เที่ยวไม่เป็นเวลา เที่ยว เสเพลเรื่อยเปื่อย สมัยก่อนเรียกว่า นักเที่ยวกลางคืน

3.เป็น นักหมกมุ่นการบันเทิง สมัยก่อนเรียกว่าดูการละเล่น หมายความว่า หมกมุ่นเอาแต่เรื่องสนุกสนานบันเทิง วนเวียนอยู่กับสถานและรายการบันเทิง จะหาแต่ความสนุกอย่างเดียว มัวเมา ทิ้งการเรียน ไม่เอาการเอางาน ไม่มีเวลาหาเงินหาทอง และผลาญเงินทองที่มีอยู่

4.เป็นนักเลงการ พนัน ซึ่งผลาญทรัพย์อย่างยิ่ง อย่างที่โบราณว่าไฟไหม้ยังดีกว่าเล่นการพนัน เพราะไฟไหม้นั้น ถึงบ้านจะหมด ที่ดินก็ยังอยู่ แต่ถ้าเล่นการพนัน แม้แต่ที่ดินก็หมดด้วย ไม่มีอะไรเหลือ

5.คบคนชั่วเป็นมิตร เช่น คบนักเลงสุรา นักดื่ม นักการพนัน นักเที่ยวเสเพล คบคนอย่างไร ก็พาไปเป็นอย่างนั้น ทำให้เราพลอยเสียไปด้วย

6.เกียจคร้านการงาน คือไม่เอาใจใส่การงาน เอาแต่จะนอนสบาย พอมีงานหรือเรื่องที่จะต้องทำยากหน่อย ก็อ้างโน่นอ้างนี่หลบหลีกไปเรื่อย

นี่ คืออบายมุข 6 นับต่อจากกรรมกิเลส 4 และอคติ 4 รวมแล้วเป็น 14 ข้อ เป็นสิ่งสกปรกเสียหายหรือเปรอะเปื้อนที่ควรละเลิกหลีกเว้น เพื่อชำระล้างชีวิตให้บริสุทธิ์ สะอาด โปร่งโล่ง เบาสบาย

การที่มาณพ ไปอาบน้ำชำระร่างกาย เขาก็ได้ความสะอาดแค่ข้างนอก แต่ถ้าเราชำระความชั่ว 14 อย่างนี้แล้ว ก็จะทำชีวิตให้สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อชีวิตสะอาดดี ก็พร้อมที่จะอยู่ร่วมสังคมและดำเนินชีวิตอยู่ในโลกโดยสวัสดี

ขั้นที่ 2 เตรียมตัวไหว้ทิศ

การ จะไหว้ทิศนั้น แม้จะขึ้นจากน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จมาแล้ว ก็ยังมีขั้นตระเตรียมอีก เช่น มาจัดแจงบริเวณและที่ยืน เป็นต้น ซึ่งรวมแล้วยังมีอีก 2 ขั้น คือ

1.เลือกคบคน ในตอนเว้นอบายมุข ได้บอกแล้วว่า ไม่ให้คบคนชั่วเป็นมิตร ทีนี้ก็มาเตรียมตัวเลือกคนที่จะคบ โดยรู้จักแยกว่ามิตรดีและมิตรชั่ว เป็นอย่างไร มิตรมีกี่ประเภท ดูลักษณะคนที่ควรคบ

การคบคนนี่ท่านถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ หลักกัลยาณมิตร สอนว่า ในการอยู่ร่วมสังคมนี้ การรู้จักเลือกคนที่เกี่ยวข้องคบหาเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักแยกว่า ใครเป็นมิตรแท้ ใครเป็นมิตรเทียม

เรื่อง มิตรแท้ 4 ประเภท มิตรเทียม 4 ประเภทนี่เรียนกันยาว เมื่อพูดเอาแค่หลักการก็คือ ให้รู้จักแยกได้ว่า คนอย่างไรเป็นมิตรแท้ คนอย่างไรเป็นมิตรเทียม แล้วก็คบแต่มิตรแท้ 1

ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ ให้เกี่ยวข้องกับคนชั่วเลยนะ เดี๋ยวจะพูดว่า ถ้าอย่างนั้นคนไม่ดีเราก็ละทิ้งเลยสิ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ไม่ให้คบคนชั่ว เว้นแต่จะช่วยเหลือเขา

แต่ถ้าเราจะช่วยเขา เราต้องพร้อมก่อน ต้องเห็นชัดว่าเราอยู่ในภาวะที่เข้มแข็งพอ และมีปัญญา ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี จะทำให้เกิดความเสื่อมหรือเสียหายอย่างไร และอยู่ในวิสัยที่จะช่วยได้ หรือมีทางเข้าไปเกื้อกูลชักนำดึงเขาขึ้นมา

แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่า เราเองอาจจะแย่ อาจจะกลายเป็นฝ่ายที่ถูกเขาชักจูงหรือดึงลงไป เพราะฉะนั้นจึงต้องประมาณกำลังของตน

เป็น อันว่า ไม่คบคนชั่ว เว้นแต่จะช่วยเหลือ แต่ตามปกติ ว่าโดยหลักการทั่วไปก็คือ คนชั่วคนไม่ดีเป็นพาล เราไม่เอา เราคบหาบัณฑิต ที่จะชักพาชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ ตามหลักที่ท่านว่า ยํ เว เสวติ ตาทิโส - คบคนใด ก็เป็นเช่นคนนั้น

นอกจากคบกันธรรมดาแล้ว ก็รู้จักคบคนในวงการหรือกิจการงาน ในการงานนั้น ถ้าเรารู้จักเลือกคบหาคน ก็จะเป็นทางของความเจริญก้าวหน้า เช่น คนที่ประกอบธุรกิจการค้า ก็ต้อง รู้ว่าคนไหนมีความสำคัญอยู่ในวงการธุรกิจที่ตัวเกี่ยวข้อง คนไหนรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ดี คนไหนจะชักพาให้เข้าถึงทางของความก้าวหน้าได้ เรารู้ว่าเราควรจะเข้าหาใคร ในเรื่องอะไร เรามีความต้องการอะไร มีธุระประเภทไหน ควรจะเข้าหาคนชนิดใด ตลอดกระทั่งหนังสือสื่อแหล่งความรู้แหล่งข้อมูล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น