วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภูมิธรรมชาวพุทธ (11) from khaosod

ภูมิธรรมชาวพุทธ (11)

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)


ค.สมบัติ (ความสมบูรณ์หรือความสัมฤทธิผล) และวิบัติ (ความล้มเหลว หรือการปฏิบัติผิดพลาด ไม่สำเร็จผล)

มตตา : สมบัติ = สงบหายไร้ขัดเคือง

วิบัติ = เกิดเสน่หา

กรุณา : สมบัติ = สงบหายไร้วิหิงสา

วิบัติ = เกิดโศกเศร้า

มุทิตา : สมบัติ = สงบหายไร้ริษยา

วิบัติ = เกิดสนุกสนาน

อุเบกขา : สมบัติ = สงบหายไร้ชอบชัง

วิบัติ = เกิดความเฉยด้วยไม่รู้ (เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยโง่ เฉยเมย)

ง.ข้าศึก คือ อกุศลคู่ปรับ ที่จะทำลายให้ธรรมข้อนั้นๆ เสียไป

เมตตา : ข้าศึกใกล้ = เกิดเสน่หา ราคะ

ข้าศึกไกล = พยาบาทคือความขัดเคือง ไม่พอใจ

กรุณา : ข้าศึกใกล้ โทมนัส คือความเศร้าโศกเสียใจ

ข้าศึกไกล = วิหิงสา

มุทิตา : ข้าศึกใกล้ = โสมนัส (เช่นดีใจว่าตนจะได้รับผลประโยชน์)

ข้าศึกใกล้ = อรติ คือความไม่ยินดี ไม่ไยดี ริษยา

อุเบกขา : ข้าศึกใกล้ = อัญญานุเบกขา (เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยโง่ เฉยเมย)

ข้าศึกไกล = ราคะ (ความใคร่) ปฏิฆะ (ความเคือง) หรือชอบใจขัดใจ

จ.ตัวอย่างมาตรฐาน ที่คัมภีร์ทั้งหลายมักอ้าง เพื่อให้เห็นความหมายชัด

1.เมื่อลูกยังเล็กเป็นเด็กเยาว์วัย

แม่-เมตตา คือ รักใคร่เอาใจใส่ ถนอมเลี้ยงให้เจริญเติบโต

2.เมื่อลูกเจ็บไข้เกิดมีทุกข์ภัย

แม่-กรุณา คือ ห่วงใยปกปักรักษา หาทางบำบัดแก้ไข

3.เมื่อลูกเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวสวยสง่า

แม่-มุทิตา คือ พลอยปลาบปลื้มใจ หวังให้ลูกงามสดใสอยู่นานเท่านาน

4.เมื่อลูกรับผิดชอบกิจหน้าที่ของตนขวนขวายอยู่ด้วยดี

แม่-อุเบกขา คือ มีใจนิ่งสงบเป็นกลาง วางเฉยคอยดู

ทั้งนี้ พึงทราบว่า

ฉันทะ คือ กัตตุกัมยตาฉันทะ (ความอยากทำให้ดี หรือความต้องการที่จะทำให้คนสัตว์ทั้งหลายดีงามสมบูรณ์ปราศจากโทษข้อบกพร่อง เช่น อยากให้เขาประสบประโยชน์สุข พ้นจากทุกข์เป็นต้น) เป็นจุดเริ่ม (อาทิ) ของพรหมวิหารทั้ง 4

การข่มระงับกิเลส (เช่น นิวรณ์) ได้ เป็นท่ามกลางของพรหมวิหาร ทั้ง 4

สมาธิถึงอัปปนา เป็นที่จบ (สัมฤทธิ์จุดหมาย) ของพรหมวิหารทั้ง 4 นั้น

[2.14] สังคหวัตถุ 4 (ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว คือยึดเหนี่ยวใจบุคคล และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี, หลักการสงเคราะห์

- Sangahavatthu: bases of social solidarity; bases of sympathy; acts of doing favours; principles of service; virtues making for group integration and leadership)

1.ทาน (การให้ คือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือกันด้วยทรัพย์สินสิ่งของ ตลอดถึงให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน

- Dana: giving;generosity; charity)

2.ปิยวา จา หรือ เปยยวัชชะ (วาจาเป็นที่รัก วาจาดูดดื่มใจ หรือวาจาซาบซึ้งใจ คือกล่าวคำสุภาพไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี ให้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงคำแสดงประโยชน์ ประกอบด้วยเหตุผล เป็นหลักฐาน ทำให้มั่นใจ และน่าชื่นชมเชื่อถือ

- Piyavaca: kindly speech; convincing speech)

3.อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์ คือ ขวนขวายช่วยเหลือกิจการ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงช่วยแก้ไขปรับปรุงส่งเสริมในทางจริย-ธรรม

- Atthacariya: useful conduct; rendering services; life of service; doing good)

4.สมา นัตตตา* (ความมีตนเสมอ** คือ ปฏิบัติสม่ำเสมอกันในชนทั้งหลาย ไม่เลือกรักผลักชัง ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เอารัดเอาเปรียบ ทำตนเสมอต้นเสมอปลาย และเสมอในสุขทุกข์ คือร่วมสุขร่วมทุกข์ โดยร่วมรับรู้ร่วมแก้ไขปัญหา ตลอดถึงวางตนเหมาะแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม ถูกต้องตามธรรมในแต่ละกรณี

- Samanattata: even and equal treatment; equality consisting in impartiality, participation and behaving oneself properly in all circumstances)

[2.15] ระงับ นิวรณ์ 5 พัฒนา ธรรมสมาธิ ขึ้นมาแทน

ก.นิวรณ์ 5 (ธรรมที่ขวางกั้นการเจริญจิตเจริญปัญญา, ธรรมที่ครอบงำจิตปิดบังปัญญา ทำให้ไม่ก้าวหน้าในคุณความดี ไม่ให้บรรลุคุณพิเศษทางจิต และทำให้มองสิ่งทั้งหลายเคลือบคลุมพร่ามัวเอนเอียง ไม่อาจรู้เห็นตามเป็นจริง, อกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง

- Nivarana: hindrances.)

1.กามฉันทะ (ความพอใจติดใคร่กาม, ความอยากได้สิ่งเสพบำเรอผัสสะ, โดยขอบเขต หมายถึงโลภะทั้งหมด เว้นแต่รูปราคะและอรูปราคะ

- Kamachanda: sensual desire)

2.พยาบาท (ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ, โดยขอบเขต หมายรวมโทสะทั้งหมด

- Byapada: illwill)

3.ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม, ความท้อแท้และเฉาซึม, ความห่อเหี่ยวและตื้อมึน

- Thina-middha: sloth and torpor)

4.อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ, ความกระวนกระวายกลุ้มกังวล

- Uddhacca-kukkucca: distraction and remorse; flurry andworry; restlessness and anxiety)

5.วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย, ความเคลือบแคลง

- Vicikiccha: doubt; uncertainty)

เมื่อ จิตปลอดจากนิวรณ์ 5 แล้ว ธรรมสมาธิ มีปราโมทย์ เป็นต้น ก็จะเกิดขึ้นแทนที่ และจิตก็จะเป็นสมาธิแน่วสนิทถึงขั้นอัปปนา คือได้ฌาน และสามารถเจริญปัญญาให้มองเห็นตามเป็นจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น